Home » ศาสนา ธรรมะ ความดี » 'ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ' 'จิตสงบ ใจเปิดกว้าง' ..ติช นัท ฮันห์

การบริหาร/ความรู้ทั่วไป

Web Design by Softbiz+


ว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014

 
'ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ' 'จิตสงบ ใจเปิดกว้าง' ..ติช นัท ฮันห์

'ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ' '

เสวนาธรรมกับพระอาจารย์ ติช นัท ฮันห์ ... คม ชัด ลึด

  

การนอนสมาธิ ตามแนวติช นัท ฮันห์

การนอนสมาธิ หนึ่งในวิธีการเจริญสติตามแนวของติช นัท ฮันห์ ถูกถ่ายทอดให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทย เพื่อลดความตรึงเครียดจากการทำงาน

ภาวนาสนทนาฉบับ ติช นัท ฮันท์

คอลัมน์ “จุดประกาย”ของกรุงเทพธุรกิจฉบับวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2553 นำบทสัมภาษณ์ของท่านติช นัท ฮันท์ ผู้นำด้านการเจริญสติและการพัฒนาจิตวิญญาณวิถีพุทธมหายาน มีประโยชน์ อ่านแล้วประทับใจมาก ขออนุญาตนำมาขยายความต่อ โดยเฉพาะส่วนที่ท่านพูดถึงการทำ “ภาวนาสนทนา” ร่วมกันระหว่างคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองขัดแย้งกันแบบสุดขั้ว ถ้าหากสามารถทำตามที่ท่านแนะนำได้ กระบวนการ “ปรองดอง”ในประเทศไทย อาจเริ่มต้นได้จริงๆสักที
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับบทบาทของสื่อมวลชน ว่าจะมีส่วนช่วยสังคมลดความขัดแย้งในสังคมไทยได้หรือไม่อย่างไร ท่านไม่ตอบตรงๆ แต่พูดถึงความทุกข์ของคนทำหน้าที่สื่อมวลชน ซึ่งเป็นผู้นำเสนอ “ความจริง” สู่สังคม ถ้าหากสื่อมวลชนมีทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ของตัวเอง ความจริงที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของคนที่มีความทุกข์อยู่แล้ว ก็ยิ่งสร้างทุกข์ให้แก่สังคมผู้เสพความจริงที่เจือมากับความทุกข์ด้วย สังคมจึงหาความสุขไม่ได้ ท่านจึงสอนให้สื่อมวลชนกลับมาดูทุกข์ของตนเองด้วยการใช้พลังแห่งสติ

ผมไม่แน่ใจว่า สื่อมวลชนไทยจะยอมรับว่าตนเองมีทุกข์ได้หรือไม่ เพราะหมกมุ่นจมปลักอยู่กับปัญหาของสังคมและความทุกข์ของคนอื่นจนชาชิน เมื่ออยู่กับทุกข์ ก็ต้องสร้างกลไกทางจิตเพื่อแยกตัวเองออกจากความทุกข์ด้วยการไม่เอาตัวเองไปปะปนกับเนื้อข่าวและความจริงในนามของ “ความเป็นกลาง” พฤติกรรมการแยกตัวเองออกจากความจริงนี้ยังไม่นับรวมถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น ผลประโยชน์ทางธุรกิจ การเมืองที่อยู่เบื้องหลังการเสนอข่าว ทำให้สื่อต้องเลือกข้าง แบ่งแยก และเป็นตัวแพร่เมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชังขึ้นในใจคน

“ถ้าเราปล่อยให้เมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชังเติบโต เราจะกลายเป็นเหยื่อของความโกรธ ความเกลียด ความสิ้นหวังและจะเป็นอันตรายมากหากคนในสังคมส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น”  คำแนะนำสำหรับการช่วยเหลือคนไทยที่ตกอยู่ในวังวนของความทุกข์ ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นของท่าน ติช นัท ฮันห์ คือ

“ขอให้พวกเรามาฟังซึ่งกันและกัน” กระบวนการฟังอย่างลึกซึ้ง เป็น “มรรควิธี” ดับทุกข์ทางสังคมหรือ “ทุกข์หมู่” ที่มีความเรียบง่าย ทรงพลังและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อย แต่คนอาจให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยไปหน่อย

ความจริงก่อนที่ประเทศไทยจะพูดเรื่องโครงสร้าง เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคม ควรจะหาวิธีที่ทำให้คนในสังคม “ฟัง” กันก่อน มิฉะนั้นเรื่องใหญ่ๆเหล่านี้ จะกลายเป็นเรื่อง ประเภท“อาจินไตย” ที่หาข้อยุติได้ยาก

“ในฐานะที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธ เราจะขอฟังความทุกข์ของเราก่อน ถ้าเกิดว่าเราสามารถเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง เราก็จะมีความทุกข์น้อยลง (เพราะทุกข์ถูกดับด้วยปัญญา – ผู้เขียน) ความกรุณาก็จะบังเกิดขึ้นในตัวเรา และอยากจะเข้าใจความทุกข์ของเธอเช่นเดียวกัน เพราะฉันก็รู้ว่า ตัวเองก็มีความทุกข์ด้วย และความตั้งใจของฉันไม่ใช่จะลงโทษเธอเพราะฉันก็รู้ว่าเธอมีความทุกข์เช่นเดียวกับฉัน”
 
ดังนั้น การยอมรับว่าตัวเองมีทุกข์ ทำให้มองเห็นทุกข์ และสามารถเปิดใจรับฟังทุกข์ของคนอื่นได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงก็คือ เรามักกลบเกลื่อนทุกข์ของตัวเองเสมอ นัยว่า “ข้าแน่” เมื่อมีทิฐิดื้อรั้นแบบน้ำเต็มแก้ว การจะโน้มตัวลงไปรับรู้ทุกข์ของคนอื่นว่า เป็นทุกข์ของเราด้วยเช่นกัน ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก การทำตัวเป็นแก้วเปล่า พร้อมที่จะรับฟังทุกข์ของตัวเองและทุกข์ของคนอื่น จึงเป็นคุณมากกว่าโทษ

“ฉันอยากรับฟังเธอ เพราะว่าฉันอยากเข้าใจทุกข์ที่มีในตัวเธอ ถ้าฉันเข้าใจความทุกข์ของเธอ ฉันคงไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เธอทำมาก่อน”
แปลว่า ถ้าหากเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น เราคงไม่เสียเวลาไปเพ่งโทษ ซ้ำเติม ตำหนิติเตียนการกระทำของคนอื่น เพราะทุกข์ของคนอื่น ก็คือทุกข์ของเราด้วยเช่นเดียวกัน

ท่านติช นัท ฮันห์ เสนอแนะวิธีการปฏิบัติภาวนาสนทนา (deep listening dialogue) เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย ด้วยการให้คนไทยหันมารับฟังความทุกข์ซึ่งกันและกันมากขึ้น ผู้เขียนขอขายความต่อว่า แค่ฟังกันเท่านั้นนะครับ ยังไม่ต้องก้าวกระโดดไปค้นหาปฏิบัติการทางสังคมอื่นๆ เพราะแค่ฟังกันได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญแล้ว 

ท่านเสนอแนะโดยให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกฝ่ายยอมรับ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ซึ่งอาจหมายถึงประมุขทางศาสนาต่างๆ เป็นผู้เชื้อเชิญให้กลุ่มคนที่มีความขัดแย้งกันมาร่วมปฏิบัติภาวนาสนทนา เพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสรับฟังซึ่งกันและกัน ได้พูดในสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของเขา

“เราอาจจัดภาวนาในสถานที่ที่มีบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่มีความน่ารัก ความเมตตา และให้เขาได้กลับมาฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิร่วมกับเรา มีสติร่วมกับเรา เพื่อให้สิ่งที่คุกรุ่นของเขาได้สงบลง”

ควรกล่าวด้วยว่า การเจริญสติ สมาธิภาวนา มิได้จำกัดอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนิกชนอื่นๆก็น่าจะทำได้ แต่อาจต้องปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพ

คงไม่มีความจำเป็นต้องบังคับเคี่ยวเข็ญให้คนที่มาร่วมนั่งขัดสมาธิหลับตาในทันที ท่านแนะนำให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป สัปดาห์แรกอาจจัดให้มีการทานอาหารอย่างมีสติร่วมกันเพื่อให้เกิดความสงบ ให้เขามีโอกาสได้ผ่อนคลายร่างกายและคลี่คลายสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในความรู้สึก ได้อยู่กับตัวเอง ครุ่นคิดพินิจนึกเพื่อแสวงหาความสงบภายใน อาจหากิจกรรมให้ทำ เช่น เขียนภาพระบายสี จัดดอกไม้ หรือทำงานศิลปะอื่นๆที่แต่ละคนสนใจ ส่วนสัปดาห์ที่สองค่อยเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมด โดยไม่มีการประณาม หยามเหยียด เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ตอบโต้กันไปมาและเสียโอกาสที่จะทำให้เกิดารพูดคุยและรับฟังซึ่งกันและกัน

“ถ้าหากทั้งสองกลุ่มสัญญาและสามารถพูดจากันในแบบไม่ประณาม ไม่ดูถูกกัน เราก็สามารถออกข่าวได้ทั่วประเทศ”

วิธีการแบบนี้ใช้กับกรณีของประเทศไทยได้หรือไม่ ผมว่าน่าลองดู แต่ก็ไม่ควรตั้งความหวังสูงเกินไป โดยเฉพาะการนำเอาพวกแกนนำการเมืองนอกสภาที่สวมเสื้อเหลืองเสื้อแดงห้ำหั่นกันให้ตายกันข้างนั้น คงต้องเก็บไว้ก่อน เพราะยังไงเสีย คนพวกนี้คงไม่ญาติดีกันแน่

ผมว่าลองทำกันในระดับท้องถิ่นน่าจะดี โดยให้คนมีบารมีในท้องถิ่นเชิญพวกที่มีความคิดเห็นต่างกัน มาทำแบบที่ท่านฮันห์ว่า เลือกสถานที่น่ารักๆขึ้นมาสักแห่ง เช่นวัดที่สงบร่มรื่น สัปดาห์แรกไม่ต้องให้พูดจากันเลย แต่ละคนอยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เป็นการพักผ่อนทางใจ เช่น ฟังดนตรี วาดรูป จัดดอกไม้ ฯลฯ พอจิตอ่อนลงควรแก่งานแล้ว ค่อยเอาคนพวกนี้มานั่งล้อมวง พูดถึงความรู้สึกนึกคิด ความใฝ่ฝัน ความทุกข์ความสุขของตัวเอง ตอนนี้ต้องระวัง ต้องให้เขาพูดอกมาจากชีวิตจริงของตัวเอง มิใช่พูดเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เหมือนการพูดอภิปรายในเวทีการเมือง ข้อสำคัญ ต้องไม่ให้มีการตอบโต้แลกเปลี่ยนวาทะซึ่งกันและกันโดยเด็ดขาด เพราะคำพูดของอีกฝ่าย จะไปกระตุกอีโก้ของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาตอบโต้ พังเลยครับ คราวนี้

การพูดจาตอบโต้ เป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดในกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เพราะการตอบโต้คือการเลือกยืนคนละฝั่งโดยอัตโนมัติ ถ้าหากแต่ละคนมีความกล้าหาญที่จะไม่พูดพาดพิงอีกฝ่าย หรือกล้าหาญที่จะให้อภัยหากถูกพาดพิงหรือแตะต้องโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ย่อมส่งผลต่อบรรยากาศการสนทนา และทำให้บรรยากาศคลี่คลายไปได้เอง หลังจากที่ผ่านจุดนี้ไป ทั้งสองฝ่ายก็สามารถพูดคุยกันด้วยเรื่องหนักๆหรือเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆและในที่สุด อาจพบทางออกจากปัญหาร่วมกัน
 

ประวัติ ติช นัท ฮันห์

ประวัติย่อๆระบุไว้ว่า "ติช นัท ฮันห์เกิดในปี พ.ศ. 2469  ที่จังหวัดกวงสี ในตอนกลางของประเทศเวียดนาม ท่านมีชื่อเดิมว่า เหงียน ซวน เบ๋า (Nguyen Xuan Bao) "ติช นัท ฮันห์"เป็นฉายา เมื่อท่านได้รับ การอุปสมบทแล้ว คำว่า"ติช"ในเวียดนามใช้เรียกพระ มีความหมายว่า เป็นผู้สืบทอด พุทธศาสนา ส่วน "นัท ฮันห์"เป็นนามทางธรรมของท่าน มีความหมายว่า "การกระทำเพียงหนึ่ง" (One Action) หมู่ศิษย์ในทางตะวันตก เรียกท่านว่า "Thay" (ไถ่) ซึ่งในภาษาเวียดนามมีความหมายว่า "ท่านอาจารย์"
                ในปี พ.ศ. 2492 ติช นัท ฮันห์ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุ 23 ปี ท่านได้เดินทางไปไซ่ง่อน เพื่อช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนา และเขียนบทความ ซึ่งถูกต่อต้าน อย่างมาก จากผู้นำองค์กรชาวพุทธและจากรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2505 เมื่อท่านได้รับ การเสนอทุนจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ จึงเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา 

                ท่านตระหนักว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการการต่อสู้เพื่อสันติภาพ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือหยุดการสนับสนุนสงคราม และมุ่งเน้น สันติภาพ โดยปลุกจิตสำนึกต่อคนทั่วโลก จน มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ( Martin Luther King, Jr.) เสนอนาม ติช นัท ฮันห์ เพื่อรางวัลโนเบล เพื่อสันติภาพ การทำงานเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลเวียดนามใต้ ปฏิเสธการกลับประเทศของท่าน จนแม้รวมประเทศแล้วก็ตาม ท่านจึงลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ในประเทศฝรั่งเศส โดยสอนประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเวียดนาม ที่มหาวิทยาลัย และสร้างอาศรมแห่งหนึ่ง นอกเมืองปารีส เพื่อเขียนหนังสือและปลูกพืชผักสมุนไพร ซึ่งท่านติดต่อลับๆ กับพระภิกษุที่ถูกจำคุก ในเวียดนาม เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ระหว่างนั้นท่านยังคงทำงาน เพื่อสันติภาพและผู้ลี้ภัย จากประสบการณ์ของท่านที่ได้พบเห็นชะตากรรม ของผู้ลี้ภัยด้วยตนเองจนสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมาก 
                ในปี พ.ศ. 2525 เมื่อผู้มาปฏิบัติธรรมที่อาศรมของท่านทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านจึงเริ่มก่อตั้งชุมชนแห่งใหม่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของฝรั่งเศส ให้ชื่อว่าหมู่บ้านพลัม (Plum Village) ซึ่งถือเป็นบ้านของท่านจนทุกวันนี้  ปัจจุบันท่าน ติช นัท ฮันห์ ยังคงพำนักอยู่ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส และยังเดินทางไปนำการภาวนาในประเทศต่างๆ ท่านเป็นชาวเวียดนาม ที่เป็นพระมหาเถระ ในพุทธศาสนา และมีอุดมการณ์แห่งพระโพธิสัตว์อันเป็นพระที่เลื่อมใส แห่งสากลโลกเป็นอย่างยิ่ง (ข้อมูลจากwww.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=12477) สามารถอ่านและศึกษาเพิ่มเติมได้

                การเปิดปาฐกถาธรรมของท่านิช นัท ฮันห์ในประเทศไทยกำหนดการปาฐกถาครั้งแรกเรื่อง “ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ” ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 17.00 นาฬิกาเป็นต้นไป นอกจากที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ยังมีอีกหลายแห่งเช่น 23 ตุลาคม 2553 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย อยุธยา วันที่ 24-28 ตุลาคม 2553 ที่วังรีรีสอร์ท นครนายก ส่วนผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมสอบถามและดูรายละเอียดได้ที่ www.thaiplumvillage.org คลิ๊กเข้าไปแล้วได้ยินเสียงระฆังดังกังวานก็อย่าพึ่งตกใจ 
                กิจกรรมการปฏิบัติธรรมแม้จะเป็นพระในนิกายเซน ที่พุทธศาสนิกไทยไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ก็เป็นพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พระพุทธศาสนาแม้จะมีหลายนิกาย มีแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นเหมือนเอกภาพบนความแตกต่าง และทุกนิกายมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือสันติสุขและความหลุดพ้นคือนิพพานนั่นเอง เมื่อจิตสงบใจเปิดกว้างก็จะมองเห็นทุกอย่างได้อย่างไม่จำกัดด้วยเงื่อนไขของกำแพงแห่งนิกายใดๆ พร้อมที่จะฟังและศึกษาด้วยจิตใจที่เป็นกลาง

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
13/10/53

11